Stop Sexual Harassment หยุดการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน

องค์กรป้องกันภัยคุกคามทางเพศ

มาตรการรับมือภัยคุกคามทางเพศในที่ทำงาน เพราะการคุกคามทางเพศไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่ส่งผลกระทบด้านลบต่อองค์กรหลายด้าน

ภาพประกอบ

การคุกคามทางเพศไม่ใช่เรื่องส่วนตัว

ผลกระทบจากปัญหานี้ส่งผลด้านลบต่อองค์กรในหลายด้าน ดังนั้นจึงเป็นภารกิจขององค์กรที่ต้องหาทางป้องกันและแก้ไขก่อนจะสร้างความเสียให้กับองค์กรอย่างยากที่จะแก้ไข

การศึกษาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศระบุถึงผลกระทบของการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศว่า การถูกคุกคามทางเพศมีผลต่อสุขภาพและอารมณ์ ผู้ถูกกระทำจะมีความเครียด มีอาการปวดศีรษะ วิตกกังวล สูญเสียความภาคภูมิใจในตนเอง ผลกระทบจากการถูกคุกคามทางเพศสั่นคลอนตัวตนของผู้ถูกกระทำ และยังมีผลกระทบต่อการทำงาน เกิดความตึงเครียดในที่ทำงาน ผลผลิตตกตํ่า เนื่องจากต้องขาดงานบ่อย เพราะผู้ถูกกระทำจะหลีกเลี่ยงไม่อยากพบกับผู้กระทำการคุกคามทางเพศ หรือหลีกเลี่ยงการพบปะลูกค้าที่กระทำการ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพและคุณภาพการทำงานอย่างมาก

รูปแบบของการคุกคามทางเพศในการทำงาน

1. การก่อความเดือดร้อนรำคาญทางเพศในที่ทำงาน

หรือการสร้างบรรยากาศไม่พึงปรารถนาหรือเป็นปฏิปักษ์ ได้แก่ การใช้วาจา เช่น วิพากษ์วิจารณ์รูปร่างหน้าตา แซว พูดตลกลามก ล้อเลียน ดูหมิ่นเหยียดหยามในความเป็นหญิง ความเป็นชาย หรือเพศสภาพอื่น รวมถึงรสนิยมทางเพศ หรือแสดงลักษณะทางกิริยา เช่น มองด้วยสายตาโลมเลีย ส่งจูบ ผิวปาก จับมือถือแขน ถูกเนื้อต้องตัว หรือการแสดงสิ่งของ ภาพ จดหมาย เช่น ภาพลามก ปฏิทินโป๊เปลือย จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

2. การใช้ประโยชน์หรือโทษจาก “งาน”

การล่วงเกินหรือคุกคามทางเพศที่ใช้การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ หรือการใช้อำนาจให้คุณให้โทษจากงาน เพื่อให้ได้มาซึ่งความพึงพอใจทางเพศ การล่วงละเมิดทางเพศนี้มักเป็นการกระทำของผู้มีอำนาจกระทำกับผู้ที่ด้อยอำนาจ มีการนำผลประโยชน์ของหน่วยงานเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ซึ่งขัดหลักธรรมาภิบาลในการบริหาร ส่งผลทำลายภาพลักษณ์ของหน่วยงานได้อย่างมาก

มาตรการรับมือภัยคุกคามทางเพศในที่ทำงาน

แนวทางการดำเนินงานเมื่อเกิดปัญหาการล่วงละเมิด หรือคุกคามทางเพศในการทำงาน

1. จัดตั้งกลไกการร้องทุกข์ภายในหน่วยงาน

มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการ เมื่อได้รับการร้องเรียนหรือร้องทุกข์ ทั้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร

2. การใช้กระบวนการแก้ไขปัญหาอย่างไม่เป็นทางการ

เช่น การพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร และการประนอมข้อพิพาท โดยต้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายยินยอมให้มีการประนอมข้อพิพาท มีผู้ประนอมข้อพิพาทเป็นบุคคลที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายให้ความเคารพนับถือ และต้องมีการกำหนดเงื่อนไขเพื่อการควบคุมความประพฤติของผู้กระทำไม่ให้กระทำซํ้า ทั้งนี้จะดำเนินการได้ในกรณีที่การร้องเรียนไม่เป็นลายลักษณ์อักษร หากสามารถตกลงกันได้แล้ว ทั้งสองฝ่ายต้องลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษร และให้เก็บไว้ในแฟ้มประวัติของทั้งสองฝ่าย

3. กระบวนการในการแก้ไขและจัดการปัญหาต้องเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังภายในระยะเวลา 15 วัน

นับแต่วันที่ได้รับเรื่องร้องเรียน และต้องเป็นความลับเว้นแต่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายยินดีให้เปิดเผย รวมทั้งให้ความเป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมกัน ไม่เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และข้อมูลของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายต้องเป็นความลับ ทั้งนี้ ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน หากไม่แล้วเสร็จให้ขอความเห็นชอบผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานในการขยายเวลาออกไปได้อีก 30 วัน

4. กรณีมีการร้องเรียนเป็นลายลักษณ์อักษร

ให้กลไกร้องทุกข์ภายในหน่วยงานทำหน้าที่สอบข้อเท็จจริง หากพบว่ามีมูลความผิดจริงจะต้องส่งเรื่องต่อไปยังส่วนงานที่รับผิดชอบด้านการสอบวินัย

5. การแต่งตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริง

ให้หัวหน้าหน่วยงานดำเนินการแต่งตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริง โดยต้องมีบุคคลที่มีเพศสภาพเดียวกับผู้เสียหาย ไม่น้อยกว่าหนึ่งคน และให้มีบุคคลที่ผู้เสียหายไว้วางใจเข้าร่วมรับฟังในการสอบข้อเท็จจริงในกรณีมีการสอบปากคำผู้เสียหาย

6. กรณีที่ผู้กระทำเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน

ให้ผู้มีอำนาจเทียบเท่าจากหน่วยงานอื่น หรืออำนาจเหนือกว่าเป็นประธานการสอบข้อเท็จจริง และให้มีผู้ทรงคุณวุฒิ หรือผู้แทนหน่วยงานอื่นที่มีประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นคณะทำงานด้วย

7. หน่วยงานต้องมีมาตรการในการคุ้มครองผู้ร้องเรียนและผู้เป็นพยาน

ดังนี้

1) ผู้ร้องเรียนและผู้เป็นพยานจะไม่ถูกดำเนินการใด ๆ ที่กระทบต่อหน้าที่การงานหรือการดำรงชีวิต รวมถึงไม่ให้ถูกกลั่นแกล้งทุกกรณี เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันความปลอดภัย หากจำเป็นต้องมีการดำเนินการใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร้องเรียนและผู้เป็นพยาน

2) ผู้ร้องเรียนต้องได้รับการฟื้นฟู เยียวยา และได้รับการชดเชยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่สืบเนื่องมาจากการล่วงละเมิดทางเพศในการทำงาน เช่น ค่าเดินทางในการมาให้ข้อเท็จจริง หรือค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น

8. ผู้ร้องทุกข์และผู้ถูกกล่าวหาจะต้องได้รับคำแนะนำหรือการสนับสนุนอย่างเท่าเทียมกัน

และจะไม่ถือว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิด จนกว่าข้อกล่าวหาจะได้รับการพิสูจน์ว่ากระทำผิดจริง ผู้ร้องทุกข์และผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิในการชี้แจง แสดงหลักฐานหรือพยานเพื่อยืนยันข้อเท็จจริง


ประเภทสื่อ : Infographics

ผู้เขียน :

ที่มา :


ประเด็นสุขภาวะ → เพิ่มสัดส่วนผู้มีสุขภาพจิตสมบูรณ์

ประเด็น Happy 8 → Happy Society

เครื่องมือสร้างองค์กรสุขภาวะ

1

สร้างการเรียนรู้ และความเข้าใจ องค์กรสุขภาวะ (Happy Workplace)

สร้างการเรียนรู้ และความเข้าใจ องค์กรสุขภาวะ (Happy Workplace)

ReadHappy Workplace คืออะไร

2

ตั้งคณะทำงาน และพัฒนาทีมงาน (นักสร้างสุของค์กร)

ตั้งคณะทำงาน และพัฒนาทีมงาน (นักสร้างสุของค์กร)

DownloadTemplate ตั้งคณะทำงาน

3

สำรวจและวิเคราะห์ปัญหาในองค์กร

สำรวจและวิเคราะห์ปัญหาในองค์กร

Toolทำแบบประเมินคุณลักษณะองค์กรสุขภาวะ

5

ออกแบบ ดำเนินกิจกรรม และสื่อสารเพื่อสร้างแรงจูงใจ

ออกแบบ ดำเนินกิจกรรม และสื่อสารเพื่อสร้างแรงจูงใจ

Toolเครื่องมือสร้างแผนกิจกรรม
DownloadTemplate แผนกิจกรรม
DownloadTemplate รายงานผลกิจกรรม

7

ทบทวนและพัฒนากิจกรรมที่ดำเนินงาน

ทบทวนและพัฒนากิจกรรมที่ดำเนินงาน

8

ส่งเสริมความยั่งยืนในการเกิดวัฒนธรรมสร้างสุขขององค์กร

ส่งเสริมความยั่งยืนในการเกิดวัฒนธรรมสร้างสุขขององค์กร