องค์กรยุคใหม่ทั่วโลกให้ความสำคัญกับองค์กรปลอด Toxic เพราะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพจิต และประสิทธิภาพการทำงาน
ปัญหาสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษ หรือ Toxic Work Environment เป็นประเด็นที่องค์กรยุคใหม่ทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพจิตของพนักงาน องค์การอนามัยโลกระบุว่า คนในโลกนี้ทุก 8 คนจะมี 1 คนที่ใช้ชีวิตอยู่กับปัญหาสุขภาพจิต และทุกการเสียชีวิต 100 ครั้ง จะมี 8 ครั้งที่เป็นการฆ่าตัวตาย
ขณะที่สถานการณ์สุขภาพจิตในประเทศไทย ผลสำรวจ Mental Health Check In ปี 2565 จากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลจำนวน 1,149,231 ราย พบว่าคนไทยมีอัตราความเสี่ยงซึมเศร้าร้อยละ 5.47 ภาวะหมดไฟ 4.59 และมีความเครียดสูงร้อยละ 4.37 ซึ่งสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อปัญหาเหล่านี้
Toxic Work Environment หมายถึง สภาพแวดล้อมการทำงานที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความกดดัน การกลั่นแกล้งรังแกกัน (Bullying) การสื่อสารที่ไม่โปร่งใสหรือไม่ชัดเจน ขาดการเคารพซึ่งกันและกัน ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างเวลางานและเวลาส่วนตัว เช่น ถูกหัวหน้าตามงานนอกเวลางานหรือในวันหยุด สภาพแวดล้อมในการทำงานทั้งหมดนั้นส่งผลให้พนักงานรู้สึกไม่ปลอดภัย รู้สึกไม่มีคุณค่าในที่ทำงาน ขาดแรงบันดาลใจในการทำงาน นานวันไปอาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟ รวมไปถึงการลาออกตามมา ผลสำรวจพบว่าหนึ่งในเหตุผลที่พนักงานลาออกมาจากความ Toxic จากหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน
ก่อนที่สภาพแวดล้อมในการทำงานอันเป็นพิษจะบั่นทอนจิตใจของพนักงาน จนกระทบต่อการทำงานและการใช้ชีวิต องค์กรควรเร่งจัดการแก้ไขสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษ แล้วสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพจิตและเป็นมิตรกับคนทำงานขึ้นมาแทน เช่น มีเส้นแบ่งระหว่างเวลางานและเวลาส่วนตัวอย่างชัดเจน จัดช่วงเวลาทำงานให้พนักงานมีเวลาพักเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดหรือดูแลตัวเอง ส่งเสริมการทำกิจกรรมอื่นนอกเหนือการทำงาน ซึ่งจะช่วยดูแลใจของพนักงานให้อยู่ในองค์กรอย่างมีความสุข มีไฟในการทำงานและพัฒนาศักยภาพในการทำงานได้ดี อันจะส่งผลดีต่อความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว
ประเด็นสุขภาวะ → เพิ่มสัดส่วนผู้มีสุขภาพจิตสมบูรณ์
ประเด็น Happy 8 → Happy HeartHappy RelaxHappy Soul